Sunday, May 21, 2006

กลับมาละ

หลังจากวันจันทร์ที่แปดแล้ว ก็หาเน็ตไม่ได้เลยอ่า เอาเป็นว่า สรุปการไปเยือนเมืองนอกเอาทีเดียวเลยละกัน ... อ้อ ยังไม่ได้เอาภาพจากกล้องมาลงหนะ อ่านแห้ง ๆ ไปก่อนละกัน :P

ก็ ... ต่อจากตอนที่แล้ว ก็ไปโรงงานกะโรงแรม สลับกันไปเรื่อย ๆ หละ จนวันที่สิบสอง ก็ขึ้นเครื่องบินไป Venezia จากสนามบิน Marco Polo ก็มีคนมารับไปโรงแรมแถว ๆ Padova ชื่อว่า Ibis

ที่โรงแรมนี้ ลิฟท์ก็แปลกไปอีกแบบ คือมันไม่มีปุ่มเปิดประตู (โรงแรมที่แล้วไม่มีปุ่มปิด)

สภาพส่วนใหญ่ในโรงแรมนี้ ดีกว่าโรงแรมที่แล้วนะ แต่ว่า ... มันไม่มีเน็ต T_T

เย็นวันศุกร์ ได้ไปแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ โรงแรมด้วยหละ รู้สึกว่าของมันแพงจัง ... เดินอยู่ในนั้นพอประมาณ ก็ซื้อน้ำเปล่ามา กับขนมนิด ๆ หน่อย ๆ

พอวันเสาร์ ก็ไปเดินเล่นในเมือง Padova มีร้านเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เยอะมาก แล้วก็มีตลาดนัดด้วย ดูคล้าย ๆ เมืองไทยเลยแต่ว่าบรรยากาศมันดีจัง ติดอยู่ตรงที่น้ำดื่มมันแพง ... เดิน ๆ แล้วหิวน้ำ ก็ไม่ค่อยอยากซื้อ

ตอนกลางวันกินข้าวที่ Pizzeria อะไรก็ไม่รู้ จำชื่อไม่ได้ สั่งพิซซ่ากินกับพ่อคนละถาด (ราคาถาดละแปดยูโร) ถาดมันใหญ่กว่าที่คิดแฮะ แต่ก็กินจนหมดได้หละน่า!

หลังจากนั้นก็เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ซื้ออะไรเลย :( ก็มันไม่มีอะไรน่าซื้อหนิ ): ขึ้นรถเมล์กลับโรงแรม แล้วก็กินข้าวเย็นที่โรงแรม ... จบวัน

วันอาทิตย์ ทุกอย่างปิดหมด รถเมล์ไม่วิ่ง ถ้าจะไปไหน ต้องเรียกแท็กซี่ราคาสุดโหด ก็เลยดิ้น ๆ อยู่แค่ในโรงแรม T_T นอนแต่หัวค่ำ เตรียมไปทำงานเช้าวันจันทร์

ประมาณแปดโมงครึ่ง (เช้า) วันจันทร์ ก็ไปที่โรงงานอีกแห่งนึง คุย ๆ กะเค้าถึงซักสิบโมงสิบห้านาทีโดยประมาณ ก็ต้องไปโรงงานอีกที่นึง ที่นี้อยู่ใน Belluno ซึ่งก็ไกลพอควรเลย นั่งรถไปประมาณสี่สิบห้านาที ยังอยู่ระหว่างทางไปโรงงาน ก็เห็นภูเขาอยู่สองข้างถนน มองไปไกล ๆ หน่อยจะเห็นยอดเขาสีขาว ๆ ปกคลุมด้วยหมอกและหิมะ ... ดูดีจัง

นั่งต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง คราวนี้ทางขวามือไม่มีภูเขาแล้ว แต่เป็นเมืองแทน มองเมืองจากตรงนี้ก็สวยดีแฮะ

แล้วอีกประมาณสิบห้านาที ก็ถึงที่หมาย ... โรงงานอีกแห่ง

คุย ๆ กะเค้า ถึงประมาณบ่ายสาม ก็ต้องกลับ Venezia แล้ว เพราะว่าจะต้องขึ้นเครื่องบินกลับไป Roma เพื่อจะไปต่อเที่ยวบินไปยัง Frankfurt

กลับไปถึง Roma ก็ไม่มีโรงแรมพักในเมืองอีก ต้องออกจากเมือง ไปพักโรงแรมใน Pomezia (คนละโรงแรมกับครั้งแรกนะ) ปุ่มในลิฟท์ของโรงแรมนี้เนี่ย ... คราวนี้ มันมีเลข 0 ถึง 9 เรียงเหมือนเครื่องคิดเลขเลย แต่ตึกมันมีไม่ถึง 9 ชั้นอะ ...

นอน ตื่น วันอังคารละ คราวนี้ บินจากสนามบิน Fiumicino ไปสนามบิน Frankfurt

เห็นภาษาเยอรมันแล้ว รู้สึกว่าอ่านยากกว่าอิตาลีเยอะเลย (คือ เดาความหมายไม่ค่อยได้เลย) คำที่รู้ก็เลยมีน้อยกว่า ... คือ ได้ประมาณเนี้ย

eingang = ทางเข้า
ausgang = ทางออก
toiletten = ส้วม
fahrkarten = ตั๋ว
bahnhof = สถานีรถราง/รถไฟ
haupt = หลัก (head, main)
platz = place
markt = market

โรงแรมที่พัก ชื่อว่า Winter's Eurotel Boardinghouse อยู่ในเมือง Offenbach ที่ไม่ได้พักใน Frankfurt ก็เพราะว่าจองโรงแรมใน Frankfurt ไม่ทัน มันเต็มหมดเลย (หรือไม่ก็แพงสุด ๆ) ที่นี่ มีอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายนะ แต่ว่า ราคายี่สิบสี่ยูโรครึ่ง ต่อ ยี่สิบสี่ชั่วโมง เลยไม่เอา

วันพุธ ตื่นเช้าหน่อย ไปดูงาน Achema 2006 ละ ... ในนี้ ถ่ายรูปไม่ค่อยได้หนะ เลยไม่มีรูปมาโชว์เยอะเท่าไหร่

งานนี้ใหญ่มากเลย สถานที่จัดงานเรียกว่า Messe Frankfurt มี Hall ทั้งหมดสิบ Hall แต่ละ Hall มีขนาดเท่าศูนย์ ฯ สิริกิติ์เลยมั้ง แล้วยังให้เดินได้ Hall ละหลาย ๆ ชั้นด้วย ... เดินยังไงจะครบเนี่ย

ค่าบัตรเข้างาน เค้าคิดคนละยี่สิบสามยูโร งานเปิดวันละเก้าชั่วโมง คือตั้งแต่เก้าโมงเช้า ถึงหกโมงเย็น ดังนั้น ค่าเข้าชมงาน ถ้าอยู่ตลอดเก้าชั่วโมง ก็ตกเฉลี่ยชั่วโมงละ 2.56 ยูโร (ประมาณนาทีละสองบาท)

ของกินในงานเนี่ย แย่จัง ... มีแค่ขนมปังกะไส้กรอก แล้วก็ไอติมเนสท์เล่ ราคาแต่ละอย่าง ไม่สมกับปริมาณเลย ไส้กรอกหนึ่งเส้นกับขนมปังห่วย ๆ หนึ่งก้อน ราคาสองยูโรครึ่ง ไอตินเนสท์เล่สองลูกเล็ก ๆ (เน้นว่าเล็ก ๆ) บนโคนหนึ่งอัน ก็ราคาสองยูโรครึ่ง ส่วนน้ำเปล่ากับน้ำอัดลม ราคาเท่ากันคือแก้วละสองยูโร ตอนแรกต้องมัดจำค่าแก้วใบละครึ่งยูโรด้วย (เอาแก้วไปคืน จะได้เงินคืนมา)

จริง ๆ วัฒนธรรมการมัดจำภาชนะเนี่ย มันก็มีหลายประเทศแล้วแหละ ... น่าแปลกเหมือนกัน ที่อิตาลีเค้าไม่มีแบบนี้

ตอนเย็น พองานปิด ก็เดินไปที่ Frankfurt Hauptbahnhof แล้วขึ้นรถไฟสาย S9 ไปที่ Offenbach Marktplatz กะจะหาของกิน ที่ไหนได้ เค้าปิดกันเกือบหมดแล้ว ... เหลือ KFC เปิดอยู่ ไปกินก็ได้ - -''

วันพฤหัสก็ ไปดูงานอีกวัน ไม่มีไรมากหรอก ก็อยู่ในงานทั้งวัน ตอนเย็นก็ไปหาของกิน แต่คราวนี้ ไม่ได้ไป KFC ละ เพราะว่าออกจากงานก่อนเวลาปิดนิดนึง ร้านอาหารอื่นเค้ายังไม่ปิด วันนี้ไปกินขาหมูเยอรมันที่ร้าน ... ลืมชื่อไปแล้ว :P

วันศุกร์ ไปเที่ยวละ คราวนี้ เริ่มเดินจาก Frankfurt Hauptbahnhof ไปยัง Hauptwache แถวนี้ร้านขายของเยอะมากเลย มี Department Store แปดชั้นด้วย ... ของที่ขายก็เหมือน ๆ ร้านในกรุงเทพ ฯ นี่แหละ ... ที่ต่างจากห้างของเมืองเราก็มีบันไดเลื่อนนี่แหละ ... ชั้นนึงมันต่อกับบันไดเลื่อนแปดอันหนะ สะดวกดี ... (ถ้าไม่เข้าใจ รอดูภาพละกัน)

อยากจะซื้อของกลับไปฝากหลาย ๆ อย่างนะ แต่มันมีแต่ช็อกโกแล็ตอะ - -''

วันเสาร์แล้ว วันนี้จะกลับละ แต่ขอไปซื้อของฝากอีกนิดนึงก่อน ... เครื่องบินเค้าเรียกเข้าตอนบ่ายสองสิบห้านาที บังเอิญว่าไปถึงสนามบินแต่เช้า ก็เลยมีเวลาเดินหาของนานหน่อย ... แย่จัง มีเวลาเยอะ แต่ของมันดันมีน้อย ... ไป ๆ มา ๆ ก็มีแต่ช็อกโกแล็ตอะ

บ่ายสามนิด ๆ เครื่องบินก็เริ่มปลดเปลื้อง ... บนเครื่องบินคราวนี้ ฉายหนังสองเรื่อง เรื่องแรกคือ Prime อีกเรื่องคือ King Kong

... หมดละ ถึงกรุงเทพ ฯ ซะที!

Monday, May 08, 2006

วันนี้ก็ยาวอีกแล้ว

ตื่นตอนเช้า กินอาหารเช้า แต่งตัว ... พอถึงเก้าโมงก็มีคนมารับไปโรงงาน

ถ่ายรูปโรงงานเค้าได้ซักสิบกว่า ๆ รูป กล้องดันแบตหมด - -'' ... ช่างมัน พรุ่งนี้ค่อยไปถ่ายใหม่ละกัน (จริง ๆ แบตมันก็อยู่ใกล้ ๆ แหละ แต่ไม่มีโอกาสไปหยิบ)

ในโรงงานเค้ามีตู้ขายกาแฟร้อนด้วย หยอดได้แต่เหรียญนะ ... ใกล้ ๆ ตู้ก็มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ (ถ้าสูบ จะถูกปรับตั้งแต่ 28.5 ถึง 285 ยูโร) แต่คนงานเค้ามาสูบตรงนี้เพียบเลย ... ก็มันสูบกันทุกคนหนิเนอะ

พอบ่ายโมง เค้าก็พาไปกินข้าวกลางวัน เป็นโรงอาหารของโรงงานแหละ แต่อาหารก็พอใช้ได้นะ ... (ดีกว่าข้าวกลางวันของสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม แน่ ๆ)

ประมาณบ่ายสอง ก็กลับไปฟังเค้าบรรยายเรื่องเครื่องมือ เอา drawing มาให้ดูเพียบเลย ... เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกะเหรี่ยงแฮะ ไม่รู้จักเครื่องหมายเค้าเลย (แต่พอฟัง ๆ แล้วก็เริ่มจะเข้าใจบ้างหละ)

ก่อนจะไปกินข้าวเย็น เรื่องสุดท้ายที่เค้าบรรยายก็คือ Plasma Sterilizer ซึ่งผู้ผลิตรายที่ดังที่สุดคือ Johnson & Johnson ทำอยู่เจ้าเดียวมาสิบปีแล้ว เพิ่งจะมีคนอื่นเริ่มทำก็ปีที่แล้วเนี่ยแหละ การทำงานของมันก็เข้าใจไม่ยากนะ แต่ทำยากจัง เค้าบอกว่า ต้องใช้ High Vacuum Pump เพื่อทำความดันภายใน chamber ให้ได้ต่ำถึง 0.01 millibar สัมบูรณ์ จากนั้นก็พยายามทำให้อิเล็กตรอน หลุดออกจากโมเลกุลของอากาศที่ยังเหลืออยู่ โมเลกุลมันก็จะไวต่อสนามไฟฟ้าเพราะมันมีประจุ ส่วนอิเล็กตรอนที่หลุดออกไป มันก็ไวเหมือนกัน พอของพวกนี้วิ่งไปชนกับสารอินทรีย์ พันธะมันก็จะแตกออกง่าย ๆ เค้าก็เลยใช้วิธีนี้ฆ่าเชื้อ ... เพื่อจะทำให้อิเล็กตรอนมันหลุดง่าย ๆ เค้าก็ใส่ก๊าซที่มีความเสถียรต่ำ เพิ่มลงไปด้วย (อันนี้เค้าใช้ H2O2)

ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ ใช้อุณหภูมิต่ำ คือ ประมาณ 40 - 55 °C เท่านั้น เลยใช้กับพลาสติกหรือวัสดุไม่ทนความร้อนได้ แต่ข้อเสียก็คือ ของที่ใส่เข้าไปต้องแห้งจัด ๆ

ความรู้ที่ได้เพิ่มตรงนี้มีสองเรื่อง คือ
  1. เหตุผลที่ต้องให้ของของเรา แห้งจัด ๆ ก็เพราะว่า ที่ความดัน 0.01 mbar สัมบูรณ์เนี่ย จุดเดือดของน้ำจะต่ำมาก (เกือบ 0°C) น้ำทั้งหมดจะกลายเป็นไอ ทำให้ปริมาณก๊าซใน chamber เพิ่มขึ้น ซึ่งก็แปลว่า ความดันจะเพิ่มด้วย มันก็จะไม่ใช่ 0.01 mbar แล้ว ตัว vacuum pump ต้องดูดเอาพวกนี้ออกให้หมดด้วย กระบวนการแบบนี้จะกินแรง pump มาก ๆ บางครั้งเครื่องอาจจะหยุดทำงานไปเลย แล้วแจ้งเตือนว่าความชื้นสูงเกินไป
  2. สถานะของก๊าซที่มีประจุเนี่ย เรียกว่า plasma (กะเหรี่ยงมั้ยเนี่ย ไม่รู้มาก่อน :P)
ถึงตอนเย็นเค้าก็พาไปกินข้าวเย็น จะบอกว่า สองทุ่มแล้วแหละ แต่ฟ้ายังไม่มืดเลยนะ

ที่ร้านอาหาร เค้าก็สอนภาษาอิตาลีให้นิด ๆ หน่อย ๆ เอาสนุก ส่วนใหญ่คือ จะแปลเมนูภาษาอิตาลีให้ฟัง (ร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ) จำได้นิดเดียวเอง ประมาณเนี้ย ...

acqua = water
antipasto = appetizer
zucchero = sugar

salmone = salmon
melone = melon
limone = lemon

fritto = fried
misto = mixed

mare = sea
pesce = fish
pescatore = fisherman
calamari = squid(s)
patata = potato
funghi = mushroom(s)

อ้อ ... แล้วก็ calcium เนี่ย เค้าอ่านว่า "คัลชุ่ม" แหละ

กินเสร็จก็กลับโรงแรมเลย ... ตอนนี้ก็ เลยเที่ยงคืนแล้วอ่า ... ไปนอนละ

Sunday, May 07, 2006

วันนี้ยาวจัง

กะจะเอารูปมาให้ดูด้วย แต่ว่าลืมเอาสายต่อกล้องมา เลยเอาลงเครื่องคอมพ์ไม่ได้ T_T เล่าให้ฟังเป็นตัวอักษรอย่างเดียวก่อนละกัน

ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง วันนี้ ขึ้นเครื่องบิน สายการบินไทย ประตูยี่สิบสี่ ปลายทาง กรุงโรมนะครับ นั่งรอจนเที่ยงคืนห้าสิบห้า เครื่องบินก็เริ่มเปลื้องผ้า (Take Off)

ตอนแรก บนจอทีวี เปิดซีรีส์ซิทคอมเรื่อง ... จำชื่อเรื่องไม่ได้อะ ... ก็ฮาใช้ได้ รายการต่อจากนั้นก็เป็น ดนตรีคลาสสิก ไม่สิ ดนตรีบาโรค มาพร้อมกับอาหารมื้อตีหนึ่งกว่า ๆ พอกินกันเสร็จ ผู้คนก็เริ่มหลับกัน (สงสัยเพราะเพลงน่ะแหละ) ... เรายังไม่อยากนอน ก็เลยนั่งวาดรูปเล่น (รูปเรขาคณิตหนะ กำลังคิดเรื่องที่ทำวิจัยอยู่ ... คิดไปคิดมา ได้ความว่า มันยากกว่าที่เคยคิดแฮะ) ผ่านไปประมาณชั่วโมงนึง เริ่มง่วง ๆ เลยนอนมั่ง

ตื่นมา เค้าเปิด Narnia ให้ดูด้วย ... ดูแล้วก็เลยรู้ ว่าทำไมคนถึงด่ากันจัง ... ดูจบ กินข้าว รออีกแป๊บนึงก็หกโมงเช้าสามสิบห้านาที ถึงเวลาเครื่องบินแตะพื้นกรุงโรมละ

ตรงที่ตรวจหนังสือเดินทางเนี่ย คนแน่นมากกกก ... กว่าจะออกจากสนามบินได้ ประมาณชั่วโมงนึงแหนะ ... จะบอกว่า ห้องน้ำในสนามบิน Fiumicino เนี่ย แย่กว่าดอนเมืองพอควรเลย

ออกมา ก็มีคนขับรถมารับ ... รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับรถชิดขวาเลยแฮะ ... นั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรม Hotel Centrale ใน Pomezia

เนื่องจาก Pomezia เป็นย่านอุตสาหกรรม ก็เลยไม่มีที่ท่องเที่ยวให้ดูเลย ... แต่ที่แย่กว่านั้น วันนี้วันอาทิตย์ครับ ... เมืองหยั่งกะเมืองร้างแหนะ มีแต่ตึก ไม่มีคน ไม่มีร้านขายของ ... จริง ๆ มีอยู่ร้านนึงใกล้ ๆ โรงแรม แต่ว่ามันปิดวันอาทิตย์หนะ

ส่วน ตัวโรงแรม Hotel Centrale เนี่ย ก็ไม่ใช่โรงแรมหรูหราอะไรเลย ไว้หาสายต่อกับกล้องได้แล้วจะเอารูปให้ดู ลิฟท์ยังมีแบบที่กดปุ่มแล้วไฟไม่ขึ้น ข้างในก็ไม่มีจอบอกว่าอยู่ชั้นไหนแล้ว ...

แต่สิ่งแปลก ๆ เท่ ๆ ก็มีอยู่บ้างนะ คือ ลิฟท์เค้า มีชั้น 0 กับ -1 ด้วยอะ ... เขียนหยั่งงี้บนปุ่มให้กดเลยนะ

แล้วก็ ในห้องพักสำหรับสองคนเนี่ย ... ประตูห้องน้ำไม่มีล็อก

และที่ขาดไม่ได้ ... มันมี Internet ให้ใช้ด้วย !!! มีได้ไงไม่รู้

ตอนนี้ก็ ... สี่โมงยี่สิบสามละ (เหลือบไปเห็นนาฬิกาของเครื่องคอมพ์ ... 9:38 PM แล้วนี่หว่า) พอดีกว่า ไปคุย msn ละ ไว้มีอะไรจะมาบอกเรื่อย ๆ นะ

Tuesday, May 02, 2006

กำลังจะไปยุโรป

วันที่ 6 - 20 เดือนนี้ จะไป Rome กับ Frankfurt หละ ไว้จะถ่ายรูปมาให้ดูกันบ้าง ... (กลับมา จะ update ละ)